วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ดอกเฟื่องฟ้า

ดอกเฟื่องฟ้า



ชื่อวิทยาศาสตร์  :    Bougainvillea hybrid
วงศ์                :    NYCTAGINACEAE
ชื่อสามัญ         :    Bougainvillea, Paper Flower
ชื่ออื่น ๆ           :    ดอกโคม (ภาคเหนือ) ดอกต่างใบ (กรุงเทพฯ) ตรุษจีน (ภาคกลาง)
ลักษณะทั่วไป  :
ต้น   :  ไม้รอเลี้อย ลำต้นและกิ่งมีหน
ใบ   :  ใบเดี่ยว ออกสลับรูปไข่หรือรูปรี กว้าง ๓-๕ เซนติเมตร ยาว ๔-๘ เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมนหรือสอบ ใบประดับสีต่าง ๆ
          ตามสีของดอก ออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ ๓ ใบ บางพันธุ์มีใบประดับซ้อน รูปไข่หรือรูปรี ค่อนข้างกว้าง ปลายและโคนมน
ดอก :  มีหลากหลายสีตราสายพันธุ์ เช่นสีแดง ม่วง ชมพู ส้ม เหลือง หรือขาว ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบรวมเป็นหลอด
         คอดตรงกลาง ติดอยู่บนใบประดับแต่ละใบ ยาวประมาณ ๑.๕ เซนติเมตร ปลายหลอดแผ่ออก ภายในกลีบสีนวล เมื่อบานเส้นผ่า
         ศูนย์กลางประมาณ ๐.๕ เซนติเมตร เกสรตัวผู้ ๕-๑๐ อัน
ผล   :  ผลมีขนาดเล็ก มี ๕ สัน
การขยายพันธุ์  : ทำได้โดยการตอน การเพาะเมล็ด และการปักชำกิ่ง สามารถปลูกได้ทั่วไป
สรรพคูณ  : เป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิตและระบบขับถ่าย
อื่น ๆ : มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ อเมริกาใต้ 

                          


ดอกดาวเรือง



ดอกดาวเรือง


รูปภาพ

ดอกดาวเรือง ที่เชียงใหม่เรียกว่าดอก "คำปู้จู้" 
ฝรั่งเรียกดอกนี้ว่า คาเลนดูล่า(calendula) 
ดาวเรือง คือดอกไม้ของคนที่เกิดเดือนตุลาคม 
เพราะมันจะเริ่มบานตอนต้นเดือนตุลาคมไปเรื่อยๆตลอดปี
ความหมายของดอกดาวเรืองหมายถึง “มีชัยชนะอย่างสง่างาม “(winning grace) 
ดอกดาวเรืองชอบแสงแดดนะคะเลยมีชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า 
"เจ้าสาวของพระอาทิตย์หรือ “ Sun’s bride" ภาษาดอกไม้หมายถึง "พระอาทิตย์ที่ส่องสว่าง" 
เป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิตที่จะต้องดำเนินต่อไป เหมือนดอกไม้ที่จะต้องอาศัยพระอาทิตย์
ช่วยในการเจริญเติบโต ช่วยการสังเคราะห์แสงที่ใบ 
แต่ถ้าลมฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงแดดแรงเกินไป หรือน้ำน้อยอาจทำให้พืชพันธุ์ไม้แห้งเหี่ยวเฉา 
เหมือนชีวิตที่จะต้องมีทั้งความสุข ความทุกข์คละเคล้ากันไปทุกคน

ชาวเวลช์ในประเทศอังกฤษเคยเชื่อว่าถ้าดอกดาวเรือง บานตอนสายๆ
ของวันนั่นหมายถึงวันนั้นจะเกิดพายุ ชาวเวลช์ยังเชื่ออีกว่า ดอกดาวเรืองใช้เป็นเครื่องรางเกี่ยวกับความรัก
โดยจะเอาดอกไม้ชนิดนี้ แซมเข้ากับพวงมาลาที่ใช้ประดับประดาในงานแต่งงาน

ดอกดาวเรืองมีชื่ออีกชื่อหนึ่งเรียกว่าแมรี่ โกลด์(marigold)
ชื่อนี้ได้มาจากชาวคริสเตียนสมัยโบราญ ถือว่าเป็นดอกไม้ที่เกี่ยวกับความเชื่อของศาสนาคริสต์ 
ที่เชื่อว่าถ้านำพวงมาลัยดอกแมรี่ โกลด์ปนอยู่ด้วยนำไปประดับที่รูปของนักบุญประจำศาสนา
รวมถึงรูปปั้นของพระแม่มารี สีสันของดอกดาวเรืองที่มีสีเหลืองสว่างจ้าจะมีความหมายเหมือนกับว่า
มีแสงสว่างของพระอาทิตย์ และหมู่ดวงดาวเปล่งประกายอยู่รอบๆ ขององค์พระแม่มารี 
และถือว่าเป็นดอกไม้ประจำตัวของพระแม่มารีด้วย 
สมัยก่อนนิยมเอาพวงหรีด หรือช่อดอกดาวเรืองแขวนไว้ที่ประตูหน้าบ้านเพื่อขับไล่วิญญานที่ชั่วร้าย
ไม่ให้มาเข้าใกล้ หรือถ้านำมาไว้ไต้ที่นอนจะทำให้ฝัน ถึงสิ่งดีๆที่เป็นมงคลค่ะ 

ดอกดาวเรืองไม่ใช่ดอกไม้ในแถบเอเซีย 
แต่ว่าชาวโปรตุเกสนำมาเผยแพร่ที่ประเทศอินเดียก่อน
แล้วจึงแพร่หลายทั่วไปต่อนิยมเอาไปบูชาพระวิศนุและพระลักษมี
แม้แต่แถบเม็กซิโกชาวอินเดียนเผ่าแอสแต็คก็ใช้บูชาเทพเจ้ามาก่อน
ชื่อของมันมา จากภาษาลาตินแปลว่า วันแรกของเดือนหรือ First day of the month
ชาวสวน(ฝรั่ง)ชอบปลูกดอกดาวเรืองไว้ในสวน 
เพราะว่ามันสามารถที่จะกำจัดแมลงที่เข้ามากินพืชชนิดอื่น
และยังเอาไปประกอบอาหารเช่นสลัดให้รสจัดขึ้นอีกนิดหน่อย สีสรรของอาหารก็ดูสวยงาม 
จริงๆ แล้วส่วนที่ทำให้สลัดมีรสจัดเป็นเครื่องเทศนี้มาจากส่วนที่เป็นกะเปาะของดอกดาวเรืองนะคะ
ไม่ใช่ส่วนที่เป็นกลีบดอกสีเหลืองอมส้มของมัน นอกจากนั้นดอกดาวเรืองแห้งๆ ยังเป็นสมุนไพร
ที่ใช้รักษาอาการปวดหัว ปวดฟัน ปวดกระเพาะอาหาร ลดไข้แก้ปวดทั้งหลายแหล่ 
ลดการปวดเกรงของกล้ามเนื้อระหว่าง ที่ผู้หญิงเรามีรอบเดือนได้อีกด้วย 
ยังไม่หมดคุณสมบัติของดอกดาวเรืองยังมีอีก คือลดอาการบวมของแผลจากแมลงกัดหรือต่อย 
ตาแดงผื่นคันอาการแพ้ที่ผิวหนัง ทางการแพทย์ได้นำเอาสารสกัดจากดอกดาวเรือง
ไปทำครีมทาผิวหนัง ลิปมันป้องกันริมฝีปากแห้งปากแตก อย่างที่อินเดียจะเอาไปต้ม 
เพื่อจะเอาเป็นสีย้อมผ้าทำเครื่องสำอาง ทำยาและทำเป็นสีผสมอาหาร

ส่วนใหญ่ดอกดาวเรืองมีสีเหลือง สีเหลืองอมส้ม สีส้มหรือสีแดงออกส้มๆ จัดจ้านเป็นอันมาก 
ดอกไม้นี้มีรูปดอกหลายแบบสวยงาม ดาวดาวเรืองพบได้ทั่วไปทั่วโลกมีหลายสายพันธุ์
เวลาปลูกดอกดาวเรืองต้องใช้ดินดี ชอบแดดต้นไม่สูงนักได้ด้วย กลิ่นไม่หอมใช้ไล่แมลงได้โดยธรรมชาติ 
ใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น ไก่จะได้ไข่แดงจะมีสีเหลืองสด 
อาหารไก่ที่มีส่วนผสมของดอกดาวเรืองจะทำให้เนื้อไก่สีไม่ขาวซีด 
ใช้สีของดอกดาวเรืองผสมในครีมชีส ก่อนที่จะทำเนยหรือเนยแข็งทำให้เนยมีสีน่ารับประทานค่ะ 

ดอกทิวลิป


ดอกทิวลิป (Tulip)


ทิวลิป (Tulip) เป็นชื่อสามัญของพันธุ์ไม้หัว ที่ออกดอกในฤดูใบไม้ผลิ ถ้าเราจะกล่าวกันถึง ต้นหรือดอก “ทิวลิป”
ก็ จะเหมือนๆ กับการพูดถึง “กล้วยไม้” หรือ “กุหลาบ” อย่างนั้นเอง เพราะชื่อของทิวลิป กล้วยไม้ และกุหลาบ เป็นคำสามัญนามที่ไม่ได้มีจัดแยกประเภทกันว่า เป็นต้นไม้หรือดอกไม้อย่างไหน พันธุ์ไหน หรือชนิดไหน
พันธุ์พืชแต่ละอย่าง หรือแต่ละนามนี้ ต่างก็มีสายพันธุ์ต่างๆ ที่แตกแขนงออกไปเป็นพันธุ์ (Species) เป็นชนิด (Variety) มีมากมายเหลือเกิน
ในปัจจุบันนี้ เชื่อกันว่า ได้มีนักผสมพันธุ์ทิวลิปต่างๆ ทำให้มีทิวลิปเกิดขึ้นในโลกมากกว่า 1,000 ชนิด แต่อย่างไรก็ตาม
ใน อดีตนั้น นักพฤกษาวิทยาได้เคยมีรายงานบันทึกไว้ว่า ทิวลิปพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งเป็นของดั้งเดิมของโลกเก่าจริงๆ นั้น มีกระจายพันธุ์ขึ้นอยู่ในแถบถิ่นต่างๆ ของโลกราว 100 พันธุ์ หรือ 100 สปีชี่ ส่วนทิวลิปที่โด่งดังของโลก ซึ่งมีนักปลูกดอกไม,้ ต้นไม้ นิยมปลูกกันอย่างกว้างขวางในโลก มากกว่าทิวลิปพันธุ์อื่นๆ คือ ทิวลิปพันธุ์ที่พระอาจารย์ลินเนียส ได้ตั้งชื่อไว้ให้ ในปีพ.ศ. 2280
ว่า ทิวลิปา กีสนีเรียนา (Tulipa gesneriana) ซึ่งเป็นทิวลิปที่เป็นที่นิยมมากที่สุด มาตั้งแต่ในสมัยกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 มาจนถึงในปัจจุบัน ทิวลิปพันธุ์ที่ว่านี้ เป็นพืชพื้นเมือง มีทำเลถิ่นเกิดอยู่ในประเทศตุรกี และในละแวกเอเชียไมเนอร์บางท้องที่ แต่ต่อมาภายหลัง ก็เกิดมีการกระจายพันธุ์เข้าไปเป็นพืชพื้นเมืองอยู่ในยุโรปตอนใต้อีกหลาย ท้องที่
บุคคลแรกที่นำทิวลิปสู่ยุโรปคือ “บุสเบค” ราชทูตอาณาจักรโรมันในราชสำนักตุรกี ในช่วงปี ค.ศ. 1572
ทำให้ผู้คนรุ่นหลังๆ เกิดไขว้เขว คิดว่าทิวลิปพันธุ์นี้เป็นต้นไม้พื้นเมืองของทวีปยุโรป
ทิวลิป พันธุ์กีสนีเรียนาเป็นพืชของโลกเก่า ที่นักพฤกษาวิทยาพบเป็นครั้งแรกจากประเทศตุรกี และชาวตุรกีก็เป็นหมู่ชน กลุ่มแรกที่รู้จักนำต้นทิวลิปพันธุ์นี้จากทุ่งนาป่าเขา นำเข้าไปปลูกดูเล่นในสวนดอกไม้ ตั้งแต่ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 และทิวลิปถูกนำเข้าสู่ยุโรปตะวันตก จากกรุงคอนสแตนติโนเปิล และเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะที่ประเทศฮอลแลนด์
ในประเทศเปอร์เซียนั้น นักพฤกษาวิทยาได้เคยพบต้นทิวลิปป่าขึ้นอยู่มาก และในละแวกใกล้ๆ กับเมืองคาบูลในอัฟกานิสถาน ก็พบว่ามีต้นทิวลิปต่างๆ ขึ้นอยู่ในพื้นที่มากมายถึง 33 พันธุ์ ด้วยเหตุนี้ชาวเปอร์เซียนจึงมีเรื่องตำนานอันเก่าแก่ ที่เกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องของทิวลิปมากกว่าชนชาติใดๆ ในโลก

ดอกพุทธรักษา




พุทธรักษา






ความเป็นมา

พุทธรักษาเป็นไม้ในเขตร้อนตามบันทึกถูกพบครั้งแรกในหมู่เกาะเวสอินดี้ และแถบอเมริกาใต้ จะพบได้ทั้งในที่ลุ่มและที่ดอนในเขตต่างๆอย่างไรก็ตามไม้นี้ถูกนำมาพัฒนา เป็นไม้ประดับและขยายพันธุ์ให้ดีขึ้นโดยชาวยุโรปในช่วงเวลาหลายปีนั้นต้นไม้ ได้มีการปรับตัวให้ทนกับทุกสภาพอากาศในประเทศต่างๆแม้ว่าสภาพอากาศในเขตที่ หนาวจัดเป็นอุปสรรคในการปลูกแต่ถ้าสามารถเข้าใจวงจรการเจริญเติบโตของมัน แล้วการใช้เทคนิคต่างๆก็สามารถชนะธรรมชาติได้ในที่สุด

ถ้าเราย้อนหลัง ไปในอดีตสักร้อยปี จะพบว่าพุทธรักษาเป็นไม้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและถูกนำมาปลูกอย่าง แพร่หลายในสวนทั้งขนาดเล็กและใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานความนิยมก็ลดลงแต่ก็ฟื้นกลับมาอีกจนกระทั่งถึงปัจจุบัน พุทธรักษาเป็นไม้ดอกระดับนานาชาติโดยหลายๆประเทศยอมรับให้เป็นไม้หลักในการ ตบแต่งสถานที่ที่สำคัญๆ ลักษณะช่อดอกที่หลากสีสร้างความเร้าใจให้กับนักจัดสวนยุคใหม่ที่เน้นไม้ที่ ปลูกง่ายและสวยงามอยู่เสมอ

ชื่อไทยของ พุทธรักษานั้นไม่มีการบันทึกว่าตั้งโดยผู้ใดแต่เป็นชื่อที่ไพเราะมีความหมาย เหมาะกับวัฒนธรรมของบ้านเราที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติที่ชาวพุทธทุก คนควรปกป้องและรักษาไว้ แต่ชื่อสากลที่เรียกว่า แคนนาส์ (Cannas) มาจากศัพท์ของภาษากรีกที่เขียนเป็นอังกฤษว่า (Kanna) ที่หมายถึง ต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายต้นอ้อ มีการเรียกไม้นี้ในต่างประเทศอย่างหลากหลาย อาทิเช่น แคนนา ลิลี่ (Canna lily) อินเดียนช็อตแพล้น (Indian short plant) ฯลฯ ในประเทศสเปน ชาวบ้านนำเมล็ดที่กลมแข็งสีดำมาใช้ทำลูกปัด เครื่องดนตรีที่เรียกว่า โฮชา (Hosha) ของชาวซีมบาเว ที่ใช้ในการเขย่านั้นใช้เมล็ดพุทธรักษาเป็นส่วนประกอบ

ลักษณะ ทั่วไป
พุทธรักษาเป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้นมีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้น โตประมาณ 2-4 เซนติเมตร ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูนเห็นได้ชัดโคนใบมีก้านใบซึ้งยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อน สลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 10-15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 25-35 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ช่อดอกยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ประกอบด้วยดอก 8-10 ดอก และมีกลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสรรแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์



ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก

เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นพุทธรักษาไว้ทางทิศตะวันตก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธ

การปลูก นิยมปลูก 2 วิธี

1. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ถ้าปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ควรใช้แปลงปลูกขนาด 2 x 10 เมตร โดยการยกร่องคล้ายแปลงปลูกผัก การเตรียมดินใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 10-20 กิโลกรัม/แปลง ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x30 แต่ถ้าปลูกเพื่อประดับบ้าน คนไทยโบราณนิยมปลูกไว้เป็นแนวรั้วบ้านหรือปลูกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในพื้นที่ที่จำกัด ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก

2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับอาคารบ้านเรือน ส่วนใหญ่ใช้เป็นดอกประดับภายนอก ควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด 10-16 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:แกลบผุ:ดินร่วนอัตรา1:1:1ผสมดินปลูกและควร เปลี่ยนกระถาง12ครั้งต่อปีเพราะการขยายตัวของหน่อแน่นเกินไป และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่ แทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป


การ ดูแลรักษา

แสง ชอบแสงรำไร หรือแสงแดดจัดกลางแจ้ง

น้ำ ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3-5 วัน/ ครั้ง

ดิน เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย

ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/กอ ปีละประมาณ 4-6 ครั้ง

การขยายพันธุ์ นิยมขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ เพาะเมล็ด

วิธีที่นิยมและได้ผลดี การแยกหน่อ

โรคและแมลง ไม่ค่อยมีโรคที่ เป็นปัญหา ส่วนแมลงที่รบกวน ได้แก่ พวกเพลี้ยแป้งและเพลี้ยหอย ซึ่งจะพบมากในหน้าร้อน

การป้องกันกำจัด ฉีดพ่นด้วย มาลาไธออนหรือไดอาซินอนถ้าหากกอมีขนาดใหญ่และทึบอาจใช้ยาดูดซึม จำพวกไซกอน ละลายน้ำรด ตามอัตราที่ระบุไว้ในฉลากก็ได้


สรรพคุณ
ในประเทศปาปัวนิวกินีกินหัวต้นพุทธรักษาเป็นอาหารหลักเหมือนหัวเผือกหัวมัน ของไทยเราสมัยโบราณนำหัวต้มรับประทานบำรุงปอด แก้อาเจียนหรือไอเป็นเลือด บางครั้งนำดอกมาใช้ห้ามเลือด รักษาแผลที่มีหนอง เมล็ดบดพอกแก้ปวดศรีษะ ส่วนพันธุ์พุทธรักษาปัจจุบันยังไม่มีการยืนยันในสรรพคุณ จึงขอแนะนำว่าอย่าพึ่งไปลองกิน ควรใช้ทดลองตามสรรพคุณแต่ภายนอกร่างกายจะดีกว่า

ประโยชน์ในลักษณะไม้ประดับ

ประวัติการปลูกต้นพุทธรักษาในประเทศไทยมีมานานเกือบ 200 ปีมาแล้ว ปัจจุบันพุทธรักษาถูกนำมาปลูกใหม่อย่างกว้างขวาง จำได้ว่าครั้งแรกที่ตื่นตาตื่นใจเกี่ยวกับพุทธรักษาคือเมื่อผ่านไปเขตบางแค สัก 10 กว่าปีมาแล้วสองข้างทางต้นพุทธรักษาขึ้นเต็มสวยงามขนาดที่ว่าทำให้เขตนี้ได้ รับรางวัล ระดับเขตจากการปลูกไม้ประดับประเภทนี้กันทีเดียว ต่อมาเมื่อขึ้นไปเที่ยวเชียงรายไปถนนสายแม่จันสองข้างทางต่างปลูกพุทธรักษา กันอีก ชมรมแม่บ้านแถบนี้เริ่มมีอาชีพใหม่จากการขายหน่อต้นพุทธรักษา ราคาหน่อละ 5 บาท
พุทธรักษา เป็นไม้ที่หาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ อยู่ในที่น้ำท่วมหรือที่แห้งแล้งก็ได้ เพียงแต่ถ้าที่แห้งลักษณะต้นจะเล็กและดูเหมือนต้นไม่สมบูรณ์ สวยงามเท่าต้นที่อยู่ในพื้นที่แฉะชื้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นว่าพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยรอบที่เป็นที่รกร้างว่างเปล่า กรุงเทพมหานครจะนำเอาต้นพุทธรักษามาลงปลูกเป็นแถวเป็นแนว บังกอหญ้ารกๆให้พ้นจากสายตาคนที่สัญจรไปมา เนื่องจากพุทธรักษาเป็นไม้ที่เมื่อลงปลูกแล้ว ไม่ต้องไปสนใจก็สามารถงอกงามให้ดอกสีสวยจับตาผู้คนที่ผ่านไปได้ดี โดยถ้าลงมือปลูกช่วงหน้าฝนด้วยแล้ว ไม่ต้องไปรดน้ำให้แตกหน่อแตกขยายพุ่มเพราะความที่สามารถหาน้ำและอาหาร กินได้เอง ที่ริมถนน ทุ่งวัชพืชจึงค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นทุ่งพุทธรักษา มาบดบังสายตากันเกือบหมดแล้ว

ดังนั้นถ้าใคร มีที่ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ และไม่มีเวลาดูแล การปลูกพุทธรักษาให้เต็มพื้นที่หรือปลูกหน้าที่ให้บังที่ด้านใน กันคนมาทิ้งขยะหน้าที่ของเรา การปลูกพุทธรักษา จึงดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ดีวิธีหนึ่งเหมือนกัน

พุทธรักษาถ้า ปลูกแบบดูแลดีๆคือเมื่อต้นออกดอกแล้วให้ตัดต้นทิ้ง หน่อจะแทงขึ้นต้นใหม่ออกดอกใหม่ไปเรื่อยๆ จะทำให้กอพุทธรักษาดูสวยงามน่ามอง ถ้าจะดูตัวอย่างการดูแลปลูกต้นพุทธรักษาดีๆ ให้แวะไปดูได้ที่หน้าโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน จะพบแนวต้นพุทธรักษาปลูกเป็นแถวตรงเกาะกลางถนนหน้าโรงเรียน



ความเชื่อเกี่ยวกับพุทธรักษา

คนโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยคุ้มครอง ป้องกันอันตรายแก่บ้านและผู้อาศัยได้ เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่คนโบราณเชื่อว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนั่นเอง

ดอกพุทธรักษาสีเหลืองยังเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของวันพ่อ ลูกจะนำดอกพุทธรักษานี้มอบให้พ่อในวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี อันแสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นมงคลของไม้ชนิดนี้

พุทธรักษาเป็น พรรณไม้ที่คนโบราณเชื่อว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข ถือเป็นไม้มงคลนั่นเอง ดังนั้นควรปลูกต้นพุทธรักษาไว้ทางทิศตะวันตก และผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธ


ดอกจำปา


ดอกจำปา




ชื่อวิทยาศาสตร์ Michelia Champaca

ชื่อวงศ์ MAGNOLIACEAE

ชื่อสามัญ Champaca

ชื่ออื่นๆ Orange Chempaka, จำปา

ถิ่นกำเนิด ประเทศอินเดีย, ประเทศพม่า

ลักษณะทั่วไปทางพันธุศาสตร์

จำปา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ดอกหอม ที่คนไทยเรารู้จักกันทั่วไปค่ะ แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า จำปายังเป็นไม้ที่มีประโยชน์ทางด้านสมุนไพรอีกด้วย

ลักษณะลำต้นของจำปา จะมีสีน้ำตาลปนขาว สูงราว 20 ฟุตค่ะ อายุประมาณ 5-6 ปี ทรงพุ่มค่อนข้างเตี้ย ใบมีขนาดเล็กกว่าจำปี คือยาวประมาณ 15 เซนติเมตร สีเขียวอ่อนเป็นมัน มีขนบาง ๆ ตามกิ่งและลำต้นมีตุ่มละเอียด กิ่งเปราะ ใบสีเขียวและใหญ่ ปลายใบแหลมคล้ายมะม่วง ดอกมีสีเหลืองอมส้ม ออกดอกเกือบทั้งปี ลัึกษณะดอกเป็นดอกเดี่ยว กลีบดอกยาว มีประมาณ 8-10 กลีบซ้อนกันเป็นชั้น แต่ออกดอกรวมกันเป็นช่อ ตามโคนก้านใบส่วนยอด เริ่มออกดอกเมื่ออายุ 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง ให้ดอกมากที่สุดเมื่ออายุ 3-5 ปี เฉลี่ย 70 ดอกต่อต้น ดอกจะบานเวลาตี 2–ตี 3 มีกลิ่นหอมเย็นตลอดปี

การขยายพันธุ์จำปา 

ขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ด ทาบกิ่ง และการตอนกิ่ง แต่นิยมเพาะเมล็ดกันมาก เนื่องจากมีเมล็ดจำนวนมาก หาง่าย และเพาะให้งอกได้ง่าย การเพาะเมล็ดจะเพาะในแปลงเพาะ แล้วจึงย้ายกล้าลงชำในกระถาง จนอายุ 3-6 เดือนจึงย้ายปลูกลงดิน ต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ดจะมีลำต้นตรง ระบบรากดี เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว มีทรงพุ่มแน่นทึบสวยงาม ต้นที่ปลูกอยู่บนภูเขาหรือในที่สูงจะติดเมล็ดได้ดีกว่าต้นที่ปลูกบนพื้นราบ จำปาชอบดินร่วนระบายน้ำดีและต้องการรับแสงแดดมากเต็มที่ หากต้องการปลูกให้ออกดอกในกระถางควรใช้วิธีทาบกิ่ง

การปลูกและดูแลรักษาจำปา

จำปาเป็นไม้กลางแจ้ง และต้องการน้ำปานกลาง ไม่ชอบที่น้ำขัง จะทำให้ตายได้ ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วน โปร่ง อุดมสมบูรณ์

สรรพคุณ ดอกและเมล็ดใช้ทำยาแก้ไข แก้โรคธาตุเสีย แก้คลื่นเหียน และยังทำอุบะร้อยมาลัย

ดอกลิลลี่


ดอกลิลลี่




ชื่อวิทยาศาสตร์ Lilium spp.

ชื่อสามัญ Lily,  Easter Lily
ถิ่นกำเนิด ในทวีปเอเชียแถว ๆ จีนและญี่ปุ่น

ลิลลี่ (Lily, Lilium hybrids) เป็นไม้ดอกประเภทหัว มีดอกขนาดใหญ่เป็นสง่าและสวยงามมาก บางชนิดมีกลิ่นหอมมาก นับว่าเป็นดอกไม้ที่มีราคาแพงที่สุดในปัจจุบัน ใช้ได้ทั้งเป็นไม้ตัดดอกและไม้กระถาง ชนิดที่นิยมปลูกในปัจจุบันคือ ลิลลี่ปากแตร เนื่องจากดอกมีรูปทรงเหมือนแตร ชนิดนี้มีดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ในต่างประเทศเรียก Easter lily อีกชนิดหนึ่งเป็นลูกผสมเอเชีย (Asiatic hybrids) มีช่อดอกตั้ง มีดอกหลายสี ชนิดนี้มีดอกไม่หอม อีกชนิดหนึ่งมีดอกหอมมากมีราคาแพงที่สุด คือลูกผสม Oriental hybrids
ในพื้นที่ของโครงการหลวง เช่น ดอยปุย ดอยอ่างขาง และดอยอินทนนท์ พบว่ามีลิลลี่พันธุ์พื้นเมือง หรือเรียกว่าลิลลี่ดอยขึ้นอยู่ในป่า ออกดอกในเดือนสิงหาคมดอกหอมมากโดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่มีอากาศหนาวเย็น
ปัจจุบันนี้โครงการหลวงได้ทำการวิจัยขยายพันธุ์ลิลลี่ โดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อให้เกษตรกรชาวเขาปลูก นอกจากนี้ยังได้ทำการปรับปรุงพันธุ์ลิลลี่ลูกผสมต่างชนิด โดยใช้พ่อแม่พันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศผสมกับลิลลี่ดอยอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป
ลิลี่เป็นไม้ดอกที่มีหัวสะสมอาหารอยู่ใต้ดิน หัวของลิลี่ คือ ส่วนลำต้นที่อัดตัวกันแน่น ประกอบด้วยฐานของหัว ลักษณะเป็นแผ่นแบน ๆ ด้านบนเป็นกลีบเรียงซ้อนกันเป็นชั้นคล้ายกลีบหอมหัวใหญ่ ทำหน้าที่เก็บสะสมอาหาร ด้านล่างของฐานจะมีรากงอกออกมา หัวของลิลี่จะเจริญเติบโตและเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละปีจะสร้างจุดเจริญใหม่ภายในหัว เมื่อหัวพัฒนาเต็มที่และ ได้ผ่านช่วงฤดูหนาวเกิดการทำลายการฟักตัวของหัว ยอดใหญ่จะเจริญเติบโตเป็นลำต้นเหนือดิน และส่วนยอดะสร้างช่อดอก ซึ่งดอกจะมีกลีบดอก 6 กลีบ แยกออกจากกัน มีเกสรตัวผู้ชูขึ้นอยู่ใจกลางดอก ลิลี่นั้นมีหลายสี มีทั้งสีขาว ชมพู ส้ม แดง ม่วง และมีสองสีในดอกเดียวกัน นอกจากนี้บางพันธุ์ยังมีจุดประบนกลีบดอกอีกด้วยซึ่งได้รับความนิยมมาก ดอกจะบานได้ 2-4 วัน
การขยายพันธุ์ ใช้หัว 
ความหมายของดอกลิลลี่
ดอกลิลลี่สีขาว เราเริ่มต้นกันที่ดอกลิลลี่สีขาวกันก่อนนะ ดอกลิลลี่สีขาวมีความหมายถึง "ความรักที่บริสุทธ์"  อ่อนโยน และอ่อนหวาน เหมือนรักแรกพบอะไรประมาณนั้น ดอกลิลลี่สีขาว จะให้ความหมายคล้ายๆ กันกับดอกกุหลาบสีขาวนะ
ดอกลิลลี่สีเหลือง ต่อไปเรามาดูความหมายของดอกลิลลี่สีเหลืองกันบ้าง ดอกลิลลี่สีเหลือง จะหมายถึง "ความรักที่แสดงออกถึงความห่วงใย"  เป็นห่วงตลอดเวลา อยากให้ปลอดภัย ความหมายของดอกลิลลี่สีเหลืองจะประมาณนี้นะ
ดอกลิลลี่สีส้ม ความหมายของดอกลิลลี่สีส้ม ก็จะสดใสเหมือนสีของมันนั้นเอง ดอกลิลลี่สีส้มหมายถึง ความสนุก ความร่าเริง แฮปปี้ มีความสุข ดอกลิลลี่สีส้ม จึงเป็นดอกไม้ที่น่าให้สำหรับเพื่อนสนิท คนรู้จักทั่วไป
ดอกลิลลี่สีชมพู เป็นดอกที่เหมาะจะให้แก่คนรัก ด้วยสีที่หวานของสีชมพู จึงทำให้การให้ดอกลิลลี่สีชมพูนั้น แสดงออกถึงความรักที่ลงตัว ประมาณว่าเธอคือคนที่ใช่ และเป็นอะไรที่ชอบ
ดอกลิลลี่ให้ความหมายทางศาสนาถึงความบริสุทธิ์ ดอกสีขาวจึงมีความหมายถึงพระแม่มารี ในขณะที่ดอกสีแดง ก็ให้ความหมายถึง ความรักที่บริสุทธิ์ อ่อนหวาน และอ่อนไหว หรือความรักแรก ด้วยความหมายแบบใสใสนี้เอง ทำให้ดอกลิลลี่เป็นดอกไม้ที่มอบให้กันได้ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน ญาติพี่น้อง หรือคนรักกัน อย่างไม่ต้องเคอะเขิน

ดอกลิลลี่ถูกจัดให้เป็นดอกไม้ประจำราศีของผู้คนถึง 2 ราศี ด้วยกัน กับคนราศีกุมภ์ (23 มกราคม-19 กุมภาพันธ์) ที่เป็นดอกสีแดง สีชมพู สีขาว สีส้ม และสีเหลือง และคนราศีพฤษภ (21 เมษายน-22 พฤษภาคม) ที่เป็นดอกสีขาว ด้วยว่าดอกลิลลี่นี้จะบ่งบอกถึงผู้คนที่มีบุคลิกลักษณะรักการใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ พอใจที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน มีความสุขที่ได้อยู่กับเสียงหัวเราะ ที่ซ่อนพรางความรู้สึกโรแมนติกเข้าไว้พร้อมที่จะนำออกมาใช้ใฝ่หาความรัก


ดอกบัว



ชื่อสามัญ                        lotus

ชื่อวิทยาศาสตร์            
    Nymphaea lotus Linn.

วงค์                             
  NYMPHAEACEAE


บัว  พันธุ์ไม้น้ำที่ถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ผุดผ่องและคุณงามความดีในพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบระดับสติปัญญาของมนุษย์กับการเจริญเติบโตของบัว  เป็น 4 เหล่าคือ  บัวในโคนตม  บัวใต้น้ำ  บัวปิ่มน้ำ  และบัวเหนือน้ำ  บัวเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่ดูสง่างาม  ดอกมีขนาดใหญ่  มีสีสันสวยงาม  เด่นสะดุดตาสะดุดใจแก่ผู้พบเห็น  บางชนิดมีกลิ่นหอมน่าชื่นชม  ด้วยเหตุนี้เองบัวจึงได้รับสมญาว่า "ราชินีแห่งไม้น้ำ"
บัว  เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่งอยู่ในวงศ์ Nymphaeaceae จัดเป็นพืชน้ำล้มลุกที่มีอายุหลายปี  พบได้ทั่วไปทั้งในเขตร้อน เขตอบอุ่นและเขตหนาว  จำแนกถิ่นกำเนิดและการเจริญเติบโตได้ 2 จำพวกคือ
  1. บัวที่เกิดและเจริญเติบโตในเขตอบอุ่นและเขตหนาว (Subtropical and Temperate Zones)  เช่น  ยุโรป  อเมริกาเหนือ  ภาคใต้ของอเมริกาใต้  ตอนเหนือของอินเดีย  จีนและออสเตรเลีย   บัวประเภทนี้มีเหง้าสะสมอาหารอยู่ในดิน  เมื่อถึงฤดูหนาวผิวหน้าของน้ำเป็นแผ่นน้ำแข็ง  จะทิ้งใบและอาศัยอาหารในเหง้าเลี้ยงตัวเอง  เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิน้ำแข็งละลายหมดก็จะเจริญแตกหน่อต้นใหม่ และจะเจริญเติบโตออกดอกออกผลหมุนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป  เรียกบัวประเภทนี้ว่า Hardy Type หรือ Hardy Waterlily  นักพฤกษศาสตร์จัดให้บัวประเภทนี้อยู่ในกลุ่ม Castalia Group หรือ อุบลชาติประเภทยืนต้น
  2. บัวที่เกิดและเจริญเติบโตในเขตร้อน (Tropical Zones)  เช่น  ทวีปเอเซียตอนกลางและตอนใต้  อาฟริกา  ออสเตรเลียตอนเหนือ  อเมริกากลางและอเมริกาใต้  บัวประเภทนี้กำเนิดและเจริญเติบโตได้ในเขตร้อนเขตเดียว  ถ้านำไปปลูกในเขตอบอุ่นหรือเขตหนาว เมื่อเข้าฤดูหนาวผิวหน้าของน้ำเป็นน้ำแข็งทำให้บัวประเภทนี้ต้องตายไป  จึงเรียกบัวประเภทนี้ว่า Tropical Type หรือ Tropical Waterlily  นักพฤกษศาสตร์จัดให้บัวประเภทนี้อยู่ในกลุ่ม Lotus Group หรือ อุบลชาติประเภทล้มลุก
ลักษณะทั่วไป
บัวเป็นพืชน้ำล้มลุก  ลักษณะลำต้นมีทั้งที่เป็น เหง้า ไหล หรือหัว  ใบเป็นใบเดี่ยวเจริญขึ้นจากลำต้น  โดยมีก้านใบส่งขึ้นมาเจริญที่ใต้น้ำ ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ  รูปร่างของใบส่วนใหญ่กลมมีหลายแบบ  บางชนิดมีก้านใบติดอยู่ที่หลังใบ  ดอกเป็นดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ  ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ  กลีบดอกมีทั้งชนิดซ้อนและไม่ซ้อน  มีสีสันแตกต่างกันแล้วแต่ชนิด  บัวที่พบและนิยมปลูกในประเทศไทยมีอยู่ 3 สกุล คือ
  1. สกุลบัวหลวง (Lotus)  เป็นบัวในสกุล Nelumbo มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า ปทุมชาติ หรือ บัวหลวง  มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชีย เช่น  จีน  อินเดียและไทย  มีลำต้นใต้ดินแบบเหง้าและไหลซึ่งเมื่อยังอ่อนจะมีลักษณะเรียวยาว  เมื่อโตเต็มที่จะอวบอ้วนเนื่องจากสะสมอาหารไว้มาก  มีข้อปล้องเป็นที่เกิดของราก  ใบและดอกเกิดจากหน่อที่ข้อปล้องแล้วเจริญขึ้นมาที่ผิวน้ำหรือเหนือน้ำ  ใบเป็นใบเดี่ยวมีลักษณะกลมใหญ่สีเขียวอมเทา  ขอบใบยกผิวด้านบนมีขนอ่อนๆ ทำให้เมื่อโดนน้ำจะไม่เปียกน้ำ  เมื่อใบยังอ่อนใบจะลอยปิ่มน้ำ  ส่วนใบแก่จะช฿พ้นน้ำ  ก้านใบและก้านดอกมีหนาม  ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ชูสูงพ้นผิวน้ำ  มีทั้งดอกป้อมและดอกแหลม  บานในเวลากลางวันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ  ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ  ด้านนอกมีสีเขียว  ด้านในมีสีเดียวกับกลีบดอก  กลีบดอกมีทั้งชนิดดอกซ้อนและไม่ซ้อน  สีของกลีบดอกมีทั้งสีขาว ชมพู หรือเหลือง แตกต่างกันแล้วแต่ชนิดพันธุ์  บัวในสกุลนี้เป็นบัวที่รู้จักกันดีเพราะเป็นบัวที่มีดอกใหญ่นิยมนำมาไหว้พระและใช้ในพิธีทางศาสนา  เหง้าหรือที่มักเรียกกันว่ารากบัวและไหลบัวรวมทั้งเมล็ดสามารถนำมาเป็นอาหารได้
  2. สกุลบัวสาย (Waterlily)  เป็นบัวในสกุล Nymphaea มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า อุบลชาติ หรือ บัวสาย  บัวสกุลนี้มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวหรือเหง้า  ใบและดอกเกิดจากตาหรือหน่อและเจริญขึ้นมาที่ผิวน้ำด้วยก้านส่งใบและยอด  บางชนิดมีใบใต้น้ำ  ใบเป็นใบเดี่ยว  มีขอบใบทั้งแบบเรียบและแบบคลื่น  ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน  ด้านล่างมีขนละเอียดหรือไม่มี  ดอกเป็นดอกเดี่ยวมีทั้งชนิดที่บานกลางคืนและบานกลางวัน  บางชนิดมีกลิ่นหอม  มีสีสันหลากหลายแตกต่างกันไป
  3. สกุลบัววิกตอเรีย (Victoria)  เป็นบัวในสกุล Victoria มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า บัวกระด้ง จัดเป็นบัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวใหญ่  ใบเป็นใบเดี่ยวมีขนาดใหญ่ประมาณ 6 ฟุต ลอยบนผิวน้ำ  ใบอ่อนมีสีแดงคล้ำเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม  ขอบใบยกขึ้นตั้งตรง  มีหนามแหลมตามก้านใบและผิวใบด้านล่าง  ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่  ก้านดอกและกลีบเลี้ยงด้านนอกมีหนามแหลม  บานเวลากลางคืนและมีกลิ่นหอม  ดอกประกอบด้วยกลีบเลี้ยงจำนวน 4 กลีบ ด้านนอกมีสีเขียวด้านในสีเดียวกับกลีบดอก  เมื่อเริ่มบานกลีบดอกจะมีสีขาวและจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูต่อไป
การปลูกเลี้ยงและดูแลรักษา
ดิน  ที่เหมาะในการใช้ปลูกบัวคือ ดินเหนียว ดินท้องร่องที่มีธาตุโปแตสเซียมสูง  ไม่ควรใช้ดินที่มีซากอินทรีย์วัตถุที่ยังย่อยสลายไม่หมดเพราะจะทำให้น้ำเสียและอาจทำให้ต้นเน่าได้
น้ำ  ต้องเป็นน้ำที่สะอาด  ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 5.5-8.0  อุณหภูมิควรอยู่ระหว่าง 15-35 องศาเซลเซียส ไม่ควรเกิน 50 องศาเซลเซียส  ระดับความลึกของน้ำที่บัวต้องการแบ่งเป็น 3 ระดับ  คือ
  1. น้ำตื้น  คือบัวที่ต้องการน้ำลึกระหว่าง 15-30 ซม.  มีผิวหน้าของน้ำในการแผ่กระจายของใบประมาณ 50X50 ซม.
  2. น้ำลึกปานกลาง  คือบัวที่ต้องการความลึกระหว่าง 30-60 ซม.  มีผิวหน้าของน้ำในการแผ่กระจายของใบประมาณ 1X1 เมตร
  3. น้ำลึกมาก  คือบัวที่ต้องการความลึกของน้ำอยู่ระหว่าง 60-120 ซม
ระดับน้ำที่เหมาะสมกับความต้องการของบัวสังเกตุได้จาก  ก้านดอกจะส่งดอกตั้งตรงในแนวดิ่ง  ก้านใบไม่ควรแผ่กว้างกว่า 45 องศา
แสงแดด  บัวเป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด  จึงควรให้บัวได้รับแสงแดดเต็มที่วันละ 4 ซม. เป็นอย่างน้อย  ถ้าปลูกบัวในที่ร่มเกินไปบัวจะออกดอกน้อยหรือไม่ออกดอกเลย
การให้ปุ๋ย  เมื่อเห็นว่าบัวที่ปลูกชะงักการเจริญเติบโต  ใบเล็กลงกว่าปกติ  ใบด้านขาดความมัน เหลือง แก่เร็วขึ้น  แสดงว่าบัวขาดธาตุอาหารหรือปุ๋ย  วิธีการให้ปุ๋ยบัวจะแตกต่างกับการให้ปุ๋ยพืชชนิดอื่นคือ   ต้องทำปุ๋ย "ลูกกลอน"  โดยนำปุ๋ยสูตรเสมอ 10-10-10 หรือ 15-15-15 ประมาณ 1 ช้อนชา ห่อด้วยดินเหนียวแล้วปั้นเป็นลูกกลอนผึ่งลมให้แห้ง  ถ้าปลูกบัวไม่มากอาจใช้กระดาษหนังสือพิมพ์แทนดินเหนียว  ห่อ 2-3 ชั้น  นำปุ๋ยลูกกลอนที่ทำไว้ฝังห่างจากโคนต้นประมาณ 5-8 ซม.  สำหร้บบัวเผื่อน บัวสาย และจงกลณีที่มีการเจริญเติบโตในทางดิ่งให้ฝังด้านใดก็ได้  แต่สำหรับบัวหลาง บัวฝรั่ง และอุบลชาติ  ซึ่งมีการเจริญเติบโตในแนวนอนให้ฝังด้านหน้าแนวการเจริญเติบโตของเหง้าหรือไหล
โรคและแมลงศัตรู
  • โรคใบจุด  เกิดจากเชื้อรา  ระบาดมากในช่วงฤดูฝนซึ่งสภาพอากาศมีความชื้นสูง  มักเกิดบนใบบัวที่แก่  อาการของโรคจะเป็นแผลหรือจุดวงกลมสีเหลือง  เมื่อแผลขยายกว้างจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล   ตรงกลางแผลแห้ง  ป้องกันและแก้ไขโดยเด็ดใบที่แก่หรือเป็นโรคทิ้ง
  • โรคเน่า  มักเกิดกับบัวกลุ่มอุบลชาติและบัวกระด้ง  สาเหตุเกิดจากดินที่ใช้ปลูกมีมูลสัตว์ที่ยังเน่าเปื่อยไม่หมด  ทำให้หัว เหง้า หรือโคนต้นเละ  ต้นแคระแกนและตาย  เมื่อเห็นว่าต้นแสดงอาการควรรีบนำต้นขึ้นมาตัดส่วนที่เน่าทิ้ง  เปลี่ยนดินปลูกใหม่  หรือเก็บต้นและดินบริเวณที่เป็นโรคทำลายทิ้งเสีย
  • เพลี้ยไฟ  มักเกิดกับบัวที่ยังอ่อนอยู่  ทำให้ใบหงิกไม่คลี่  ด้านหลังใบจะมีรอยช้ำเป็นสีชมพูเรื่อๆ  ต่อมาจะแห้งและดำ  ถ้าเข้าทำลายดอกและก้านดอกจะทำให้ดอกที่ตูมอยู่เหี่ยวและแห้งเป็นสีดำ   ก้านดอกแห้งเป็นสีน้ำตาลและหักง่าย
  • เพลี้ยอ่อน  จะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณโคนก้านดอก  ก้านใบ  และใบอ่อนที่โผล่เหนือน้ำ  ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลดำ  ทำให้ดอกตูมและใบมีขนาดเล็ก  สีเหลืองซีดและแห้งตาย
  • หนอน  ได้แก่  หนอนชอนใบ , หนอนกระทู้ , หนอนผีเสื้อ , หนอนกอ  จะดูดน้ำเลี้ยงและกัดกินใบบัว  หนอนและแมลงที่กล่าวมาสามารถกำจัดและควบคุมได้โดยใช้  โมโนโครโตฟอส (Monocrotophos) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า อะโซดริน60 (Azodrin60)  มาลาไธออน (Malathion) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า มาลาเฟซ (Malafez)  โดยใช้ในอัตรา 1 ซีซี. ต่อน้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ สัปดาห์จนกว่าหนอนและแมลงศัตรูจะหมด
  • หอย  จะเป็นตัวบอกว่าน้ำในบ่อดีหรือเสีย  ถ้าน้ำเสียออกซิเจนในน้ำมีไม่เพียงพอหอยจะลอยตัวหรือเกาะอยู่ตามขอบบ่อเพื่อหาออกซิเจนหายใจ  ถ้าเป็นเช่นนี้ให้รีบเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อปลูก  แต่ถ้าในบ่อมีหอยมากเกินไปหอยจะอาศัยดูดน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนหรือทำให้ก้านใบขาดได้  จึงควรกำจัดออกบ้างโดยการเก็บออก  หรือถ้าปลูกในบ่อที่มีขนาดใหญ่อาจจะเลี้ยงปลาช่อนให้ช่วยกินตัวอ่อนของหอยก็ได
การขยายพันธุ์
การแยกเหง้า  บัวในเขตอบอุ่นและเขตหนาวที่มีลำต้นเป็นแบบเหง้าสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีแยกหน่อหรือต้นอ่อนจากเหง้าต้นแม่ไปปลูก  โดยตัดแยกเหง้าที่มีหน่อหรือต้นอ่อนยาว 5-8 ซม. ตัดรากออกให้หมด  ถ้าเป็นต้นอ่อนสามารถนำไปปลูกยังที่ต้องการได้เลย  ถ้าเป็นหน่อให้นำไปปลูกในกระถางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-25 ซม.  ฝังดินให้ลึกประมาณ 3-5 ซม. กดดินให้แน่น  เทน้ำให้ท่วมประมาณ 8-10 ซม.  ดินที่ใช้ควรเป็นดินเหนียวเพื่อช่วยจับเหง้าไม้ให้ลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ  เมื่อหน่อเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่จึงย้ายไปปลูกยังที่ต้องการ
การแยกไหล  บัวในเขตร้อนโดยเฉพาะบัวหลวงจะสร้างไหลจากหัวหรือเหง้าของต้นแม่แล้วไปงอกเป็นต้นใหม่  สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีตัดเอาไหลที่มีหน่อหรือปลิดต้นใหม่จากไหลไปปลูก  การตัดไหลที่มีหน่อไปปลูกควรตัดให้มีขนาดความยาวประมาณ 2-3 ข้อ และมีตาประมาณ 3 ตา  นำไหลที่ตัดฝังดินให้ลึก 3-5 ซม. กดดินให้แน่น  ต้นอ่อนจะขึ้นจากตาและเจริญเป็นต้นใหม่ต่อไป
การแยกต้นอ่อนที่เกิดจากใบ  บัวในเขตร้อนสกุลบัวสายบางชนิดจะแตกต้นอ่อนบนใบบริเวณกลางใบตรงจุดที่ต่อกับก้านใบหรือขั้วใบ  สามารถขยายพันธุ์ได้โดยตัดใบที่มีต้นอ่อนโดยตัดให้มีก้านใบติดอยู่ 5-8 ซม.  เสียบก้านลงในภาชนะที่ใช้ปลูกให้ขั้วใบที่มีต้นอ่อนติดกับผิวดิน  ใช้อิฐหรือหินทับแผ่นใบไม่ให้ลอย  เติมน้ำให้ท่วมยอด 6-10 ซม.  ประมาณ 2 สัปดาห์ ต้นอ่อนจะแตกรากยึดติดกับผิวดินและเจริญเติบโตต่อไป
การเพาะเมล็ด  การขยายพันธุ์วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมปฏิบัติเนื่องจากยุ่งยากและต้องใช้เวลานาน  ยกเว้นบัวกระด้งที่ต้องขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดเท่านั้น  นอกจากนี้การเพาะเมล็ดมักนิยมใช้กับเมล็ดบัวที่ได้จากการผสมพันธุ์บัวขึ้นมาใหม่แล้วเก็บเอาเมล็ดนำมาเพาะ  เพื่อสะดวกในการคัดแยกพันธุ์  วิธีการเพาะเมล็ดมีดังนี้  เตรียมดินเหนียวที่ไม่มีรากพืช  ใส่ลงในภาชนะปากกว้างที่มีความลึกประมาณ 25-30 ซม.  โดยไส่ดินให้สูงอย่างน้อย 10 ซม. ปรับแต่งหน้าดินให้เรียบและแน่น  เติมน้ำให้สูงจากหน้าดินประมาณ 7-8 ซม.  นำเมล็ดที่จะใช้เพาะโรยกระจายบนผิวน้ำให้ทั่ว  เมล็ดจะค่อยๆ จมลงใต้น้ำ  สำหรับเมล็ดบัวหลวงและบัวกระด้งเมล็ดมีขนาดใหญ่  ให้กดเมล็ดให้จมลงไปในดินแล้วเติมน้ำให้สูงจากผิวดินประมาณ 15 ซม.  นำภาชนะที่เพาะไปไว้ในที่มีแดดรำไร  ประมาณ 1 เดือน เมล็ดจะเริ่มงอกเป็นต้นอ่อน  เมื่อต้นอ่อนแข็งแรงและมีใบประมาณ 2-3 ใบ จึงแยกนำไปปลูกยังที่ต้องการ
การผสมพันธุ์
ดอกบัวจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน  เกสรตัวเมียจะบานก่อนเกสรตัวผู้ 1-2 วัน  ดังนั้นเกสรตัวเมียจึงมักได้รับการผสมพันธุ์จากเกสรตัวผู้ของดอกอื่น  โดยมีลมและแมลงเป็นตัวช่วยในการผสมพันธุ์แต่การผสมพันธุ์บัวเพื่อให้ได้บัวพันธุ์ใหม่ที่มีสีสวยแปลกออกไปและเพื่อเป็นการพัฒนาสายพันธุ์จึงมักเป็นการผสมพันธุ์โดยมนุษย์ช่วยผสมพันธุ์  โดยคัดเลือกบัวพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่จะนำมาผสม  ก่อนดอกแม่บาน 1-2 วัน ให้ทำการเปิดดอกแล้วใช้กรรไกรขลิบตัดเกสรตัวผู้ออกให้หมดแล้วคลุมดอกด้วยผ้ามุ้งตาถี่ๆ เพื่อกันเกสรตัวผู้จากดอกอื่นที่ไม่ต้องการเข้ามาผสม  เมื่อดอกแม่บานให้ขลิบตัดเอาเกสรตัวผู้จากดอกต้นพ่อพันธุ์และควรเป็นดอกที่บานแล้วประมาณ 2 วัน มาใส่บนเกสรตัวเมียของดอกแม่แล้วคลุมด้วยผ้ามุ้งตามเดิม  ดอกแม่เมื่อได้รับการผสมแล้วถ้าผสมไม่ติดดอกจะลอยอยู่ปริ่มน้ำแล้วจะโรยไป  ถ้าผสมติดดอกจะเริ่มกลายเป็นฝักโดยดอกจะค่อยๆ จมลงใต้น้ำประมาณ 2 สัปดาห์  เมื่อดอกเจริญเป็นฝักแก่และมีเมล็ดแก่ก็จะลอยขึ้นมาบนผิวน้ำใหม่อีกครั้ง  จึงเก็บเอาฝักแก่มาแยกเอาเมล็ดนำไปเพาะเมล็ดต่อไป

ดอกกล้วยไม้



ดอกกล้วยไม้





ประวัติและความเป็นมาของการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้

                กล้วยไม้ อยู่ใน Family Orchidaceae ประกอบไปด้วยชนิดมากกว่า 25,000 ชนิด และมีลูกผสมอีกมากกว่า 100,000 ชนิด เป็นตระกูลไม้ดอกที่มีจำนวนชนิดมากที่สุดในโลก เราสามารถพบเห็นกล้วยไม้ได้ ตั้งแต่เขตร้อนไปจนถึงเขตหนาว และแม้แต่ในเขตทะเลทราย ก็มีกล้วยไม้ขึ้นอยู่ได้ กล้วยไม้มีความใกล้เคียงกับดอกลิลลี่มากที่สุด เหมือนกับที่ฮิปโปโปเทมัส มีความคล้ายคลึงกับปลาวาฬนั่นเอง ลักษณะของกล้วยไม้ทั้งต้นและดอก มีความหลากหลายมาก ตั้งแต่ดอกที่มีลักษณะรูปทรง สีสรร สวยงาม ไปจนถึงลักษณะรูปทรงสีสรรที่แปลกประหลาด สะดุดตาผู้ที่ได้พบเห็น สีของกล้วยไม้มีตั้งแต่สีที่สดใสไปจนถึงสีที่มืดทึม กล้วยไม้จัดเป็นไม้ดอกที่มีวิวัฒนาการสูงสุดในบรรดาไม้ดอกทั่วไป  กล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว (momocootyledons) ที่มีการบันทึกการปลูกเลี้ยงมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ในประวัติศาสตร์ของจีน ได้มีบันทึกการปลูกเลี้ยงไว้ ตั้งแต่สมัยของขงจื้อ 551 - 479 BC การบันทึกได้บรรยายถึงกลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ไว้ ซึ่งต่อมาทราบชื่อในภายหลังว่าเป็น Cymbidium ensifolium ซี่งถือว่าเป็นสัญลักขณ์ของความฉลาด และ  Dendrobium moniliforme มีคำกล่าวของจีนกล่าวไว้ว่า จงวาดรูปของต้นไผ่เมื่อมีความโกรธ และวาดรูปกล้วยไม้เมื่อมีความสุข  
                ในแถบยุโรป ราวปี  300 BC Theophratus ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น บิดาของวิชาพฤกษศาสตร์ ได้บันทึกไว้เกี่ยวกับกล้วยไม้ที่มีชื่อว่า Orchis ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า orchid ในปัจจุบัน กล้วยไม้ที่มีชื่อว่า Orchis นี้ มีหัวอยู่ในดิน มีลักษณะคล้าย  testis เลยตั้งชื่อให้ว่า  orchid  การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศจีนเริ่มขึ้นในราชวงศ์ Sung (960 - 1279) ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวก Cymbidium  Phaius  และ Calanthe  ต่อมาในปี 1899 นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส  Noel Barnard ค้นพบว่าเมล็ดของกล้วยไม้ดินที่มีชื่อว่า  Neottia ที่หล่นอยู่บริเวณใบไม้ผุ สามารถเจริญเติบโตเป็นต้นใหม่ได้ ทำให้มีการทดลองเพาะเมล็ดกล้วยไม้ ลูกผสมที่ได้มาจาก Laeliocattleya ก็สามารถเพาะเป็นต้นขึ้นมาได้ แต่มีจำนวนน้อยมาก  ต่อมาได้มีการลองใช้น้ำคั้นที่ได้จากหัวของกล้วยไม้ดินอีกชนิดหนี่ง มาลองเพาะเมล็ด Bletilla hyacinthina เมล็ดของกล้วยไม้ชนิดนี้ก็สามารถงอกเป็นต้นได้ และได้มีการลองใช้น้ำคั้นผสมกับน้ำตาล แล้วนำไปเพาะเมล็ดจาก Laelia ก็พบว่า เมล็ดของ Laelia สามารถเจริญเติบโตได้ Knudson ได้รายงานเกี่ยวกับเชื้อรา มีการสร้างน้ำตาล ที่มีความสำคัญต่อการงอกของเมล็ดกล้วยไม้ และได้มีการพัฒนาอาหารเทียมขึ้นมาเพาะเลี้ยงกล้วยไม้อีกด้วย  เรียกว่า Knudson 's C medium
                เมล็ดกล้วยไม้มีขนาดเล็กมาก น้ำหนักประมาณ 0.3 - 0.6 ไมโครกรัม  Charles Darwin ได้รายงานไว้ว่า ในฝักกล้วยไม้  Ophrys  maculata 1 ฝัก สามารถบรรจุเมล็ดกล้วยไม้ได้ถึง 30,317,760,000 เมล็ด ซึ่งถ้านำไปเพาะและเมล็ดทุกเมล็ดงอกเป็นต้นได้ ต้นกล้วยไม้ทั้งหมดนี้ สามารถที่นำมาปลูกคลุมพื้นที่ประมาณ 1 เอเคอร์ได้
                การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศไทย เริ่มมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 โดยนายเฮนรี่ อลาบาสเตอร์ ได้นำกล้วยไม้สกุล Cattleya เข้ามาปลูกเลี้ยง และได้มีการนำเข้าพวก Oncidium และ Brassavola ด้วย ซึ่งในสมัยนั้นการปลูกเลี้ยง ทำอยู่ในวงจำกัด ในหมู่เจ้านายและข้าราชบริพารเท่านั้น ต่อมาเมื่อมีการติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ ก็เริ่มเป็นที่สนใจของคนหมู่มาก
                ในช่วงปี ค.ศ.1743 - 1782 ได้มีมิชชันนารี ชาวโปรตุเกสคือ  Ioannis de Loureiro เข้ามาสำรวจพันธุ์กล้วยไม้ในแถบอินโดจีน และต่อมา Dr. Gunnar Seidenfaden  และ ศาสตราจารย์เต็ม  สมิตินันท์ ได้มีการสำรวจพันธุ์กล้วยไม้ในประเทศไทยขึ้น ซึ่งสามารถรวบรวมไว้ได้มากกว่า 1000 ชนิด อีกท่านหนึ่งที่ให้ความสนใจแก่กล้วยไม้ไทยมากคือ ศาสตราจารย์ระพี  สาคริก ท่านได้เป็นผู้เริ่มต้นการฝึกอบรมการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ให้แก่ผู้ที่สนใจ และต่อมาได้มีการพัฒนาพันธุ์กล้วยไม้มาเป็นลำดับ ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยได้มีการผลิตกล้วยไม้ตัดดอกและกล้วยไม้กระถาง ส่งไปขายยังนานาประเทศ ทำรายได้ให้กับประเทศไทยเป็นมูลค่า ประมาณ 2000 พันล้านบาทต่อปี  ตลาดที่มีการส่งออกมากที่สุดคือ ประเทศญี่ปุ่น  รองลงมาได้แก่ กลุ่มประเทศในยุโรป และสหรัฐอเมริกา



ดอกมะลิ


ดอกมะลิสำหรับคนที่ชอบดอกมะลิ ดอกไม้ไทยสีขาวที่มีกลิ่นหอมละมุนละไมนี้ อุปนิสัยมักเป็นคนเรียบร้อย อ่อนโยน ค่อนข้างจะจู้จี้จุกจิกอยู่สักหน่อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะความเป็นคนเจ้าระเบียบที่ชอบความเรียบร้อยงดงาม นั่นเอง
นอกจากนี้ยัง เป็นคนที่มีความรู้สึกอ่อนไหวมาก จะรู้สึกไวว่าใครคิดเช่นไรกับตน และเป็นคนคิดมาก ช่างวิตกกังวลไปกับคำพูดคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นผู้ที่ชอบชีวิตเรียบง่าย รักสงบ และเป็นตัวของตัวเองดีทีเดียว




สมัยก่อนนั้นไม่มีการกำหนดวันแม่ให้แน่ชัดเนื่องจากเกิดเหตุการณ์หลายอย่าง การจัดวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2486ณ สวนอัมพร 
          แต่เนื่องจากช่วงนั้น เป็นช่วงสงครามโลก ปีต่อมาจึงงดหลายฝ่ายพยายามรื้อฟื้นวันแม่ขึ้นมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จและได้วันที่เป็นที่รับรองของรัฐบาลคือวันที่ 15 เมษายน เริ่มขึ้นในปี 2493จัดในวันนี้ไปอีกหลายปีแต่ต้องหยุดชะงักลงเพราะกระทรวงวัฒนธรรมโดนยุบ ต่อมาได้กำหนดจัดวันแม่วันที่ 4 ตุลาคม เริ่มในปี 2515แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี 2519 คณะกรรมการอำนวยการ
         สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึง
ได้กำหนดวันแม่ใหม่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ตั้งแต่นั้นมาเหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้ง
  ยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับ ความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย… 

ดอกกุหลาบ

ดอกกุหลาบ พร้อม ความหมายของ

ดอกกุหลาบ



เคยได้ยินคำเปรียบเปรยไหมที่ว่า ผู้หญิงสวยแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็เปรียบได้ดัง "ดอกกุหลาบ" เพราะดอกกุหลาบนั้น แม้จะมีรูปร่างภายนอกที่สวยงามรวมถึงกลิ่นที่หอมชวนดม แต่มันก็มีหนามแหลม หากไม่ระวังอาจโดนบาดได้ง่าย ๆ

          กุหลาบนั้นมีชื่อสามัญว่า "Rose" ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า "Rosa hybrids" และมีชื่อวงศ์ว่า "Rosaceae" ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ลักษณะของกุหลาบนั้นมีทั้งไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งจะมีหนาม ส่วนดอกของกุหลาบจะมีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกมีลักษณะใหญ่ มีไม่ต่ำกว่า 5 กลีบ กุหลาบนั้นมีกลิ่นหอมชวนดม และมีหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ อีกทั้งยังมีหลายชนิดด้วย

          ซึ่งคำว่ากุหลาบนั้นมาจากคำว่า "คุล" ที่ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" โดยในภาษาฮินดีก็มีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก






          โดยกุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ ว่ากันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว และเคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบนั้นเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์จนขยายเป็นพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย

          ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิ์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอกส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน เพราะชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมาก แม้ว่าจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังลงทุนสร้างสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะสำหรับชาวโรมันแล้วดอกกุหลาบนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นทั้งของขวัญ และเป็นดอกไม้สำหรับทำมาลัยต้อนรับแขก รวมถึงเป็นดอกไม้สำหรับงานฉลองต่าง ๆ แถมยังเป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ และยาได้อีกด้วย

          และเมื่อเอ่ยถึงดอกกุหลาบแล้ว หลาย ๆ คนก็คงจะนึกถึงเรื่องความรัก เพราะกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความโรแมนติก โดยมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงามและความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

          แม้จะไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจนว่าดอกกุหลาบนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้านเราตอนไหน แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ว่าเห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็ได้มีการกล่าวถึงกุหลาบเอาไว้ และยังมีตำนานดอกกุหลาบของไทยที่เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มาก แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา

          โดยดอกกุหลาบนั้นสามารถสื่อความหมายได้หลายอย่าง อาทิ

 สีกุหลาบสื่อความหมาย

           สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ

          สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์

          สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง

          สีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ

          สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

          สีส้ม สื่อความหมายถึง ฉันรักเธอเหมือนเดิม


จำนวนกุหลาบสื่อความหมาย

          1 ดอก รักแรกพบ
          2 ดอก แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
          3 ดอก ฉันรักเธอ
          7 ดอก คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
          9 ดอก เราสองคนจะรักกันตลอดไป
          10 ดอก คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
          11 ดอก คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
          12 ดอก ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
          13 ดอก เพื่อนแท้เสมอ
          15 ดอก ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
          20 ดอก ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
          21 ดอก ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ
          36 ดอก ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
          40 ดอก ความรักของฉันเป็นรักแท้
          99 ดอก ฉันรักเธอจนวันตาย
          100 ดอก ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
          101 ดอก ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
          108 ดอก คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
          999 ดอก ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย




ความหมายอื่น

           กุหลาบแดงเข้ม (สีเหมือนไวน์แดง) "เธอช่างมีเสน่ห์งามเหลือเกิน"

           กุหลาบตูมสีแดง "ฉันเริ่มรักเธอแล้วจ้ะ"

           กุหลาบบานสีแดง "ฉันรักเธอเข้าแล้ว"

           กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"

           กุหลาบตูมสีขาว "เธอช่างไร้เดียงสาน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ฉันรักเธอ"

           กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว "เสน่ห์ของเธอมันเริ่มลดน้อยถอยลงแล้วนะจ๊ะ"

          กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย

          และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวที่น่าสนใจของดอกกุหลาบ